W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 
>>> นายเลี่ยม บุตรจันทา ปราชญ์เดินดิน
.............ผู้เห็นบัญชีคือหัวใจของการดำเนินชีวิต

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550
ผู้เขียนพร้อมด้วยน้องอร น้องสาวแสนสวยประจำส่วน ประชาสัมพันธ์ (น้องใหม่จริง ๆ สวยจริง ๆ ไม่เชื่อก็มาแวะเวียนดูหน้าตาได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ จะนั่งอยู่หน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ทุกวัน) ได้มีโอกาสได้นำกองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปถ่ายทำสารคดีที่บ้านนาอีสาน ตำบลท่ากระดาน จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้นัดหมายกับหัวหน้าสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ฉะเชิงเทรา หัวหน้าลัดดา จิตรายานนท์ ผู้ใจดพร้อมทีมงานเสริมสร้างคือจิ๋ว หรือเบญจมาศเพื่อนสนิทที่ได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยอยู่กองตรวจบัญชีที่ 1 เมื่อ 24 ปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยลูกน้องของจิ๋ว ( ผู้เขียนลืมถามชื่อ) เรานัดกันเมื่อเวลา 7.30 น. ณ โรงแรมแกรนด์ โรงแรมใหญ่ที่สุดในเมืองฉะเชิงเทรา หัวหน้าพร้อมจิ๋วมาตรงเวลา พวกเราและทีมงานก็ตรงเวลา การเดินทางหัวหน้าบอกว่าต้องใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะบ้านนาอีสาน จะติดกับทางเขาฉกรรจ์ทางจะไปจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัวนั่งรถกันเป็นเวลานาน ดังนั้นอาหารเช้าพวกเราทุกคนก็กินตุนกันอย่างเต็มที่


เมื่อถึงเวลาเราใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดยโชเฟอร์ผู้ชำนาญทุกเส้นทาง คุณพีระพันธ์ ขับรถพาไป มีรถของหัวหน้าลัดดานำทีมไป ติดตามด้วยรถของกองเกษตรสารนิเทศ และรถของส่วนประชาสัมพันธ์ ระหว่างทางที่ไป ทิวทัศน์เป็นสวนยาง ซึ่งดูครึ้มไปตลอดทาง พร้อมถนนลาดยาง เคยจำได้ว่าถนนเส้นนี้เคยเดินทางมาถ่ายสารคดีเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนหน้านั้น (ถ่ายเกี่ยวกับกลุ่มอาชีพ มีหัวหน้ามัฑนา เป็นหัวหน้าสำนักงานนำไปถ่ายทำสารคดี ระหว่างถ่ายกลุ่มแม่บ้านได้ตำส้มตำปลาร้าให้ทาน รู้สึกว่าประทับใจจริง ๆ ) สมัยก่อนยังเป็นดินลูกรัง นั่งกระแทกกันไปตลอดทาง แต่ปัจจุบันเป็นถนนลาดยาง ความเจริญเข้ามาถึง 2 ชั่วโมงเต็มที่ทีมงานของเราเดินทางมาถึงบ้านพ่อเลี่ยม บุตรจันทา ซึ่งเป็นบ้านไม้ ใต้ถุนสูง ใต้ถุนบ้านมีไม้กระดานแผ่นใหญ่พร้อมโต๊ะ ตั้งเรียงรายกันหลายตัว นั่งสบาย เหมาะกับที่จะเป็นที่ประชุมของชุมชน พอไปถึงก็พบกับภรรยาของพ่อเลี่ยมคือแม่ตุ๋ย ซึ่งได้บอกกับพวกเราว่า พ่อเลี่ยมไปตามชาวบ้านมาเรียนบัญชี ส่วนแม่ตุ๋ยกำลังทำอาหารให้พวกกองถ่าย และทีมงานกินกันในมื้อกลางวัน ซึ่งหัวหน้าลัดดาได้ตกลงให้ทำอาหาร ราคาหัวละ 60 บาท สำหรับผู้มาเยือน ไว้ถึงมื้อกลางวันก่อนจะบอกให้ว่าอาหารมีอะไรบ้าง และอร่อยไหม
 หลังจากนั้น เราได้คุยกับพ่อเลี่ยมซึ่งวันนี้หัวหน้าลัดดาได้แซวว่าหล่อ หล่อจริง ๆ พ่อเลี่ยมของชาวบ้านแถวนั้นใส่เสื้อ โครงการ ทำบัญชี มีพอใช้ ให้พ่อดู สวมทับในกางเกง คาดเข็มขัด ซึ่งขับกับสีผิวที่ค่อนข้างจะคล้ำ แต่ใบหน้าของพ่อเลี่ยมตลอดระยะเวลาที่ได้คุยกัน ได้สังเกตอย่างหนึ่งว่า พ่อเลี่ยมมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หรืออมยิ้มตลอดเวลา โดยเฉพาะจะยิ้มมากขึ้นเมื่อได้คุยถึงยายตุ๋ย ภรรยาสุดที่รัก น้ำเสียงที่พูดถึงยายตุ๋ยนั้น แฝงไปด้วยความรัก ผู้เขียนยังคุยกับน้องอรว่า สามีสุดที่รักของพี่ จะเรียกพี่ด้วยน้ำเสียงรัก และหวงแหนเหมือนพ่อเลี่ยมหรือไม่ (โถคนเราก็อยากจะได้ยินแต่สิ่งดี ๆ เวลาที่คนพูดลับหลัง จริงไหมจ๊ะ)


พอคุยกันได้สักพัก ก็ถึงเวลาที่จะต้องถ่ายทำ ทีมงานจากกระทรวงฯ บอกว่าพ่อเลี่ยมหล่อเกินไป ขอให้ช่วยใส่เสื้อผ้าที่เคยใส่สำหรับเข้าสวน ซึ่งวันนี้เราจะไปถ่ายทำกันในสวน ออนซอน ที่พ่อเลี่ยมนำเสนอ ผู้เขียนสงสัยว่าออนซอนแปลว่าอะไร พ่อเลี่ยมบอกว่าเป็นสวนแห่งความรักระหว่างพ่อเลี่ยมกับแม่ตุ๋ย เราทั้ง 2 มานั่งถางหญ้า ปลูกฟัก คุยกัน เหนื่อยเราก็หยอกล้อกัน ทุกครั้งที่นึกถึง ภาพในอดีตทำให้ลุงเลี่ยมรู้สึกว่ามีความสุขทุกครั้ง ทำให้พ่อเลี่ยมตั้งชื่อสวนว่า”สวนออนซอน” สวนแห่งความภาคภูมิใจ สวนแห่งความรัก ของเราทั้ง 2 พอได้เวลา พ่อเลี่ยมก็พาทีมงานไปยังสวนออนซอน เริ่มถ่ายทำและสัมภาษณ์โดยน้องปอย พิธีกรน่ารักที่จบจากรั้วจามจุรี (พิธีกรคนนี้เก่งมาก ขอบอก เพราะตอนนาตาลี มาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น้องปอยก็เป็นผู้สัมภาษณ์ แถมความสวยยังเฉียดฉิวกัน นาตาลีสวยแบบฝรั่ง แต่น้องปอยสวยแบบสาวเกาหลี ไม่เชื่อก็ติดตามได้จากรายการ เกษตรสาร ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 14..30 15.00 น. ช่อง 11 จะเป็นผลงานที่ไปถ่ายทำกัน ) เอ้า เข้าเรื่องกันดีกว่าน้องปอย พ่อเลี่ยม หัวหน้าลัดดา ได้พาชมสวนกัน โดยน้องปอยได้ให้พ่อเลี่ยมเล่าประวัติความเป็นมาเป็นพ่อเลี่ยมที่นับหน้า ถือตาของคนในชุมชนในวันนี้

>>> ประวัติพ่อเลี่ยม บุตรจันทา ปราชญ์ผู้เห็นบัญชีคือชีวิต บ้านนาอีสาน
อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา

แต่เดิมผมเป็นคนอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ภรรยาชื่อนางสมบูรณ์ หรือยายตุ๋ย มีลูกชาย 2 คน แต่เดิมมีอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง ทำแล้วไม่พอกับหนี้สินธรรมดามีหนี้เพราะการประกอบอาชีพอย่างเดียวก็พอทน แต่หนี้ที่เกิดขึ้นเพราะอบายมุข ทั้งสิ้น ทั้งกินเหล้า เล่นหวย เล่นโป สารพัด โดนยายตุ๋ยด่าทุกวัน เมียด่าก็กินเหล้า สุขภาพแย่ เมียด่ามาก ๆ เข้าก็ขายที่ใช้หนี้ ก็เลยอพยพมาที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อปี 2530 ทีแรกก็ไปถางป่า ปลูกข้าว ปลูกผัก ทำอยู่ 1 – 2 ปี ติดเขตเขาฉกรรจ์ ต่อมาได้รับคัดเลือกเข้ามาทำกินในที่ ส.ป.ก. เมื่อปี 2534 โดยทำอาชีพทำไร่ เห็นพี่น้องปลูกข้าวโพด ก็เลยทดลองปลูกบ้าง ปลูกไปไม่นานก็ขาดทุนเหมือนเดิม ปัญหาหนี้สินก็ตามมา ไปกู้เถ้าแก่มาลงทุน เมื่อปี 35 เป็นหนี้ ธกส. เพราะดอกเบี้ยต่ำ ปีแรกไปกู้ธกส. มาใช้หนี้เถ้าแก่ พอถึงเวลาทำไร่ก็ยืมเงินเถ้าแก่มาลงทุน ทำอย่างนี้อยู่หลายปี ตั้งแต่ปี 35 – 39 ชีวิตมีแต่เรื่องเมา ทะเลาะกับครอบครัว สุดท้ายได้ไปเรียนรู้ข้างนอก มีคนไปชวนให้เข้าอบรมกับ ตชด. อยากไปอบรมมาก เพราะคิดว่าถ้าได้ไปอบรมจะห่างเมียและมีเหล้ากินนอกบ้าน วันที่ไปอบรม ได้แนวคิดจากผู้ใหญ่วิบูลย์ ซึ่งเป็นวิทยากร ผู้ใหญ่ได้เล่าประสบการณ์ พร้อมแนวคิดเชิงดูถูกว่าเกษตรกรไม่รู้จักตนเอง


พ่อเลี่ยมเถียงในใจว่า ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อาทิตย์ละ 3 – 4 วันเมียด่า แต่ผู้ใหญ่วิบูลย์บอกว่า การที่จะรู้จักตัวเองต้องมีเครื่องมือ คือต้องทำบัญชี ตอนไปอบรม ไม่ได้กินเหล้าอย่างที่คิด ต้องงดเหล้า 2 – 3 วัน เมื่อเลิกสัมมนากลับมาบ้านเริ่มมีไฟในตัวเอง ก็เริ่มทำบัญชี ขอสมุดจากลูกชายมาตีแบบบัญชีเอง เกือบจะไม่ได้ทำต่อแล้ว เพราะถามลูกชายว่าแม่ให้เงินไปโรงเรียนใช้จ่ายอะไรบ้าง และถามยายตุ๋ยเมียรักว่าใช้จ่ายอะไร แต่ก็โดนยายตุ๋ยด่าหาว่าไม่ไว้ใจ ก็ถามค่าใช้จ่ายยายตุ๋ยอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ยายตุ๋ยก็ด่าทุกวัน พอหลังจากนั้นเมียด่าอยู่สักอาทิตย์ ในที่สุดก็เลิกด่า เพราะถามทุกวันและลงบัญชีทุกวัน พอต้นปี 39 ได้สรุปบัญชีรับจ่ายในครัวเรือน และก็เรียกยายตุ๋ย พร้อมลูกชายทั้ง 2 มานั่งคุยกัน พอยายตุ๋ยเห็นบัญชีหันมาบอกเลยว่า ถ้าแกเลิกเหล้าได้ก็จะมีเงินถึง 40,000 กว่าบาทใช้หนี้ ธกส. พอหันมาอ่านบัญชีของแม่บ้าน แม่บ้านก็ด่าอีก บอกว่าสิ่งที่เขาซื้อไป 20,000 บาทนั้นใช้ในครอบครัวซึ่งดีกว่าที่พ่อเลี่ยมหมดไปกับการกินเหล้า เล่นโป สุดท้ายยายตุ๋ยก็ถามว่า จะอยู่กับเมียก็ให้เลิกอบายมุข หรือถ้าจะเลือกอบายมุขต้องก็เลิกกับเมีย ตอนนั้นชีวิตไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร จะเลิกอบายมุขก็เสียดาย จะเลิกกับเมียก็ไม่ได้ ก็ลองหันไปเห็นลูกชาย 2 คน ถามลูกว่าเลือกใครระหว่างพ่อ กับแม่ ลูกชายทั้ง 2 ตอบเหมือนกันว่าเลือกแม่ เมื่อได้ยินคำตอบของลูกชายทั้ง 2 ก็เริ่มทบทวนตัวเองว่าทำไมลูกถึงเลือกอยู่กับแม่และ ชีวิตทำไมมันเศร้าอย่างนี้ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจที่จะเลิกอบายมุข เสร็จแล้วก็กลับมาดูรายจ่ายของเมีย เห็นว่ารายจ่ายของเมียหมดไปกับค่าพืชผักสวนครัว จึงตัดสินใจปลูกทุกอย่างที่กิน และกินทุกอย่างที่ปลูก
เริ่มต้นของความสุขก็ได้บังเกิดกับครอบครัว คือ ที่ได้ร่วมกันรดน้ำต้นไม้ ถอนหญ้าร่วมกัน ทำให้นึกถึงความสุขของ วันเก่า ๆ ที่ได้ร่วมกันมา จึงตั้งชื่อสวนของเราว่า สวนออนซอน แปลว่าสวนที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ความรักที่เราได้เริ่มต้นกันมานึกถึงอดีตที่เราเริ่มจีบยายตุ๋ยเดินบนคันนาร่วมกัน พอผมเหนื่อยจากการถางหญ้าเราก็มานั่งหยอกล้อกันในสวนของเรา เวลาเมื่อยก็มานั่งทบทวนนึกถึงคำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า ปลูก 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง ในสวนผมจะปลูกไม้ผล มะเฟือง มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟัก แฟง แตงโม พอออกลูกพ่อเลี่ยมก็จะไชโยโห่ฮิ้ว หลังจากที่ทำสวน ก็มีคำถามว่าทำแล้วจะขายได้ที่ไหน ปลูกแล้วเราจะไม่ขาย เราจะกินในครอบครัวให้พอ เหลือแล้วจึงนำไปขาย จะขายในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์นอกจากนั้นในสวนของผมปลูกต้นไม้ 153 ชนิด แต่ละชนิดที่ปลูกผมรู้จักหมดทุกต้น เพราะผมลงมือปลูกเอง และแต่ละชนิดสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกต้น การปลูกต้นไม้ควรจะมี ระดับ คือไม้เตียน ไม้ผล ไม้กินดอก ไม้หน้าดิน ไม้ใต้ดิน ได้แก่ มันบางอย่าง กลอย ทุกคนที่มาเที่ยวสวนออนซอนรับรองไม่อด มีมันให้กิน


>>> บัญชีบอกอะไรเราหลายอย่าง

- ที่ผ่านมาเราทำอะไร ดูได้จากบัญชี เช่นไปซื้อของที่ไหน เมื่อไหร่ พอเห็นบัญชีก็เห็นภาพขึ้นมา
- จะทำอะไรบ้าง ก็ดูได้จากบัญชีว่าเราควรจะทำอะไรเพิ่มเติม
- เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้
- ทำให้คนมีระเบียบวินัยในการใช้สอย
- ทำให้มีสมาธิ เพราะทุกเย็นเราต้องนั่งนึกแล้วว่าเราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง จึงเกิดสมาธิขึ้น
ลูกผมเรียนทั้ง 2 คน ผมทำนา 4 ไร่ แต่ไม่ต้องกู้เงินรัฐบาลเรียน เพราะบัญชีทำให้ลูกไม่โกหก การเรียนในบัญชีจะบอกว่าลูกใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ค่าเทอม ค่าการศึกษา บัญชีทำให้ลูกผมเลิกกินเป็ปซี่ ทำให้นำมาอภิปรายกันในครอบครัวว่าลูกเลิกกินน้ำอัดลมได้ไหม ลูกจะมีรายได้ปีละ 2,000 กว่าบาทถ้าเลิกกินน้ำอัดลมได้ ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าบัญชีสำคัญที่สุด มีประโยชน์มาก บัญชีไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าเราลงบัญชีไม่ซื่อสัตย์กับตนเอง การวิเคราะห์ก็จะไม่เกิดประโยชน์ ประโยชน์ของบัญชี ทำให้เราต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่จะซื้อนั้นเป็นสิ่งจำเป็น หรือเป็นความต้องการ ก็สรุปได้ว่าร้อยละ 75 จะมีแต่ความต้องการ ซึ่งความจำเป็นจริง ๆ จะมีน้อยมาก
>>> หลักคิดในการดำเนินชีวิตของพ่อเลี่ยม บุตรจันทา

หลักสำคัญในการเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติต้องรู้จริง โดยเฉพาะรู้ 5 เรื่อง คือ
- คนเราต้องรู้จักตนเอง
- รู้จักปัญหาของตัวเอง ได้เรียนรู้ตัวเองว่าปัญหาหนี้สินมาจากการใช้ชีวิตของตัวเอง
- รู้จักตัวเองว่าอยู่บนฐานทรัพยากรอะไรบ้าง
- รู้จักการใช้ทรัพยากร และ
- รู้จักว่าตัวเราคือใคร อาชีพอะไร
ถ้ารู้ทั้ง 5 ข้อนี้ ทำอาชีพไหนก็มีความสุข


>>> คนเราต้องมีการวางแผนชีวิต

ผมได้วางแผนชีวิตไว้ 3 ช่วง คือ ปัจจุบัน อนาคต และก่อนตาย ทำในสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตัวเองและธรรมชาติ ตอนนี้กำลังจัดการการเรียนรู้การจัดการข้าว ท่านเคยทราบไหมว่าทำไมชาวนาถึงได้จนทั้งปี คนผลิต ต้องเรียนรู้การจัดการทั้งระบบ ตั้งแต่ปลูกไปจนตายเราเป็นคนกำหนดราคาเอง แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งทิ่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นคำตอบที่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้หมดไป ผมจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้ลูกหลาน และคนในสังคมจนกว่าจะหมดลมหายใจ

>>> แล้วบัญชีมาเกี่ยวข้องกับชีวิตพ่อเลี่ยมอย่างไร

บัญชีจะบ่งบอกว่าอะไรคือปัญหา ปัญหาคือใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น บัญชีจะเป็นตัวกำกับข้อมูลสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เป็นตัวที่ชี้ให้เห็นปัญหา บัญชีเป็นภูมิคุ้มกันใครทำได้ต่อเนื่องเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี ที่สุด ถ้าไม่ทำไม่รู้ปัญหา บัญชีถ้าดูดี ๆ จะบอกปัญหา กินเหล้า สูบบุหรี่ ตัวเลขจะบ่งบอก ทำให้เราคิดว่าทำไมฟุ่มเฟือยกับสิ่งเหล่านี้ เลิกได้ไหม นอกจากนั้นบัญชียังมีความสำคัญกับ เรื่องข้าว อาหาร ยารักษาโรค ของใช้ในครัวเรือน ดูแลเรื่องดินได้โดยการทำปุ๋ยคอก ใครทำบัญชีได้ชีวิตก็จะดี บัญชีจะบอกว่าเราควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร สิ่งสำคัญคือตัวที่เป็นปัญหา เราต้องพึ่งพาคนอื่นตลอด

สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ฉะเชิงเทราได้เข้ามาอนุเคราะห์ ซึ่งพ่อเลี่ยมได้พยายามชักชวนชาวบ้านส่วนหนึ่งพยายามให้ทำบัญชี พวกเขาก็ไม่เกิดศรัทธา แต่พอราชการเข้ามากระตุ้นให้ทำบัญชี ก็เริ่มสนใจกันมากขึ้น พอทางสำนักงานให้คำแนะนำก็ง่ายขึ้น โดยได้กำหนดทุกวันที่ 15 ให้ชาวบ้านนำบัญชีที่ลงมาคุยกัน หลายคนที่ทำจริงจังก็จะเกิดประโยชน์มากขึ้น มีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ผมขอบอกว่าบัญชีมีประโยชน์กับทุกคน ทุกอาชีพครับ


หลังจากเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ พ่อเลี่ยมได้พาเราเดินดูสวนออนซอน พ่อเลี่ยมอธิบายถึงต้นไม้ทุกต้นที่ตนลงมือปลูก ระหว่างทางได้ผ่านคูน้ำ มีสะพานไม้ไผ่ข้ามคลอง มีศาลาเล็ก ๆ ตั้งค่อมคลองน้ำไหล ดูแล้วโรแมนติกมาก พ่อเลี่ยมบอกว่า ณ ที่แห่งนี้ พ่อเลี่ยมและยายตุ๋ยเราจะมานั่งปรึกษาหารือกัน ในทุกเรื่อง เราจะคุยกันแบบสามี ภรรยาที่เข้าใจกัน ไม่มีการทะเลาะกัน ทุกวันนี้ผมได้ดีก็เพราะยายตุ๋ย ผมได้แต่งกลอนให้ยายตุ๋ยว่า “พระคุณใดไหนเปรียบเทียบคุณเมีย หากมีเมียแสนเป็นสุขทุกข์จางหาย ตื่นเช้ามาทำให้กินมิเว้นวาย เกินหาใครมาเปรียบเทียบเมียเรา” หลังจากที่เราชมสวนกันแล้ว พ่อเลี่ยมได้สะดุดตาน้องอรของเรา ได้ขอให้ไปเห็นลูกสาว เพราะพ่อเลี่ยมไม่มีลูกสาว ยิ่งน้องอรบอกว่าที่บ้านก็ทำสวนอยู่ที่สุราษฎร์ธานี พ่อเลี่ยมก็เลยบอกว่าน้องอรสามารถที่จะพาพ่อมาดูงานได้นะ ยินดีให้ความรู้ทุกอย่างสำหรับลูกสาวคนนี้ (คนเราหน้าตาเป็นมิตรก็ดีอย่างนี้นี่เอง)

 
พอเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำในสวน เราก็ต้องนั่งรถกลับมาที่บ้านพ่อเลี่ยมเพื่อมาถ่ายทำฉากพ่อเลี่ยมสอนบัญชีกันต่อ แต่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว พ่อเลี่ยมจึงสาธิตการทำน้ำตาลอ้อยให้ดู โดยเริ่มจากการคั้นน้ำอ้อย และนำน้ำอ้อยไปตั้งไฟประมาณ 1 ชั่วโมง เคี่ยวให้เหนียว หลังจากนั้นก็นำลงจากเตามาเคี่ยวต่อจนกระทั่งเป็นผง แล้วนำมาให้พวกเราได้กินกัน อร่อยจริง ๆ เพราะทั้งหอม และหวานมากหลังจากนั้น เราก็ได้กินอาหารฝีมือแม่ตุ๋ย อาหารวันนั้นประกอบไปด้วยน้ำพริกปลาดุก ไข่เจียว ปลาทอดตัวเล็ก พร้อมผักจากสวนสด ๆ และผักโขมต้ม อาหารดูน่ากินมาก ประกอบกับพวกเราจำนวนหลายคน พร้อมชาวบ้านที่จะต้องมาเข้าฉาก กลัวจะไม่พอกินกัน เลยต้องให้พีระพันธ์ ไปซื้อ ไก่ย่างอาหารหลัก พร้อมส้มตำปลาร้า ส้มตำไทย และปลานิลตัวใหญ่ ๆ ที่ย่างมาช่วยเป็นอาหารเสริม จึงจะพอกินกัน สำหรับน้ำที่พ่อเลี่ยมทำให้ทีมงานได้กินกันนั้น เป็นน้ำฝาง ซึ่งทำจากต้นฝาง รสชาติอร่อย หอมหวาน พวกเราสนใจ แม่ตุ๋ยจึงนำมาจำหน่ายพวกเราซองละ 10 บาท ซื้อกันจนหมด พอได้เวลาก็กินข้าวกันที่ใต้ถุนบ้าน บรรยากาศกับอาหารเข้ากันดี

ทุกคนบอกว่าฝีมือแม่ตุ๋ยทำน้ำพริกอร่อยมาก กินกันคนละ 2 จาน ผักที่จิ้มก็มีรสหวาน ทานกันเป็นจาน ๆ พอกินกันเสร็จ ก็นั่งคุยกับพ่อเลี่ยม โดยได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 47 ได้มีโอกาสไปประเทศภูฎาน ไปสัมมนา และได้ถ่ายรูปกับเจ้าชายจิกมี่ วังชุก (เจ้าชายในฝันของคนไทย) พร้อมกับได้นำรูปถ่ายมาอวดพวกเรา แหมแสนจะปลื้มแทน อยากเป็นพ่อเลี่ยมจัง พอคุยกันต่อก็ได้นำรูปของตนเองเมื่อปี 39 ตอนกินเหล้าอยู่ พาครอบครัวไปเที่ยวทะเล แถมบอกว่าให้ดูในรูปซิ ยายตุ๋ยยังไม่อยากจะยืนใกล้ด้วยเลย ยืนออกห่าง ก็จริง แม่ตุ๋ยคงจะได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ไม่พึงประสงค์ ใครอยากจะถ่ายรูปกับคนเมาจริงไหม พอคุยกันได้สักพัก ก็ถึงคิวการถ่ายทำหัวหน้าลัดดา ซึ่งต้องมีการดูแลหน้าตากันหน่อย อยากจะบอกว่าหัวหน้าดูดีอยู่แล้ว และหัวหน้าก็เก่ง มากด้วย สัมภาษณ์เกี่ยวกับโครงการเสริมสร้างภูมิปัญญาทางบัญชีแก่เกษตรกรไทย และสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ฉะเชิงเทราได้เข้ามาสอนบัญชีอย่างไรบ้าง หัวหน้าพูดได้เทคเดียวผ่าน(เหมือนดารามืออาชีพ) หลังจากนั้น ทีมงานได้ถ่ายทำพ่อเลี่ยมสอนบัญชีให้กับชาวบ้าน ซึ่งก็เทคเดียวผ่านเพราะคนทำจริง ไม่ต้องจัดฉาก สอนในสายเลือด การพูดจาที่สอนก็เป็นไปตามธรรมชาติไม่เคอะเขิน ถ่ายทำเสร็จก็เสร็จสิ้นการถ่ายทำ หลังจากนั้นพ่อเลี่ยมได้ให้เมียสุดที่รักสาธิตการสีข้าวจาก เครื่องสีข้าวที่ทำขึ้นเอง การสีข้าวทำให้ครอบครัวได้รายได้ และข้าวที่สีมีประโยชน์ ได้สอบถามราคาต้นทุนแล้ววันหนึ่งแม่ตุ๋ยสามารถที่จะสีข้าวได้ 30 กิโลกรัม ราคาส่งบางจากกิโลละ 25 บาท รวม 750 บาท ต้นทุนประมาณ 450 บาท นอกจากนั้นข้าวที่สีเม็ดไม่สวยยังใช้กินได้อีกประมาณ 2 กิโล และเมล็ดข้าวที่แตก ก็เป็นอาหารของไก่ แกลบที่ได้ก็ไปทำปุ๋ยให้ต้นไม้ ชีวิตอยู่ได้เพราะความพอเพียง โปรดิวเซอร์ของเราคือน้องสหชาติ บอกว่า พี่ตุ๋นครับ ชีวิตพ่อเลี่ยมน่าสนใจมาก เวลาทางรายการเกษตรสาร ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีให้รู้สึกว่าจะน้อยไปสำหรับบุคคลคนนี้ พี่ก็เห็นด้วยกับน้อง(ต้อม) ทำให้คิดว่าชีวิตคนที่ประสบผลสำเร็จจากการ
ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
เสถียรภาพทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ปี 2556
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 9397 คน จำนวนคนโหวต 58 คน

  จำนวนคนโหวต 58 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
 
5%
  ให้ 2 คะแนน
 
2%
  ให้ 3 คะแนน
 
7%
  ให้ 4 คะแนน
 
5%
  ให้ 5 คะแนน
 
81%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel